ฟังเรื่องนี้จากพี่เตา-บรรยง พงษ์พานิช มาสองรอบแล้ว ประทับใจทั้งสองครั้ง วันนี้อดไม่ไหว ขอนำมาเล่าสู่กันฟังอีกทอดหนึ่งครับ
นักรักบี้เก่าอย่างพี่เตาเล่าให้นักรักบี้ (ผู้ไม่ชอบรักบี้เลย-มันเจ็บ) อย่างผมฟังว่า ปีเตอร์ เอฟ. ดรักเกอร์ เคยพูดถึงลักษณะเฉพาะของรักบี้ที่แตกต่างจากกีฬาอื่นไว้สี่ประการ คือ
.
🏉 หนึ่ง, ทั้งทีมทำเพื่อหนึ่งคน
รักบี้เป็นกีฬาที่คนทั้งทีมทุกตำแหน่งทุ่มเทเพื่อสร้างโอกาสให้หนึ่งคนได้วิ่งไปวางไทร์ ถามว่าคนไหน ไม่มีใครรู้ อาจเป็นใครก็ได้ เมื่อคนนั้นมุ่งไปที่เส้นประตูเพื่อนทั้งทีมจะสนับสนุนให้เขาทำสำเร็จ และประโยชน์ก็ตกแก่ทีม
.
🏉 สอง, คนทำงานหนักสุดไม่ค่อยมีใครเห็น แต่คนในทีมให้เกียรติ
ตำแหน่งที่อยู่ในสกรัมอย่างกองหน้าต้องชนต้องงัดกันอย่างหนักแต่ไม่โดดเด่นเหมือนตำแหน่งที่อยู่ในไลน์วิ่งอย่างอินไซด์ ปีก หรือฟูลแบ็ก แต่คนในทีมรู้ดีว่าพวกเขาทำงานหนักและเหนื่อยมากจึงให้เกียรติคนในตำแหน่งนี้เสมอ
.
🏉 สาม, ไม่สรรเสริญฮีโร่
เวลาวางไทร์ได้ คนที่ทำแต้มได้จะไม่วิ่งดีใจทำท่าอะไรมากมาย อย่างมากก็ตบหลังตบไหล่แสดงความยินดีกัน รักบี้ไม่เน้นให้คนทำคะแนนกลายเป็นฮีโร่ ส่วนหนึ่งก็เพราะรู้ว่าคะแนนนั้นมาจากการที่เพื่อนช่วยป้องกันทีมคู่แข่งให้ ช่วยส่ง ช่วยสนับสนุน
.
🏉 สี่, ผู้ชนะวิ่งมาตั้งแถวรับผู้แพ้
เมื่อจบการแข่งขัน ผู้ชนะจะรีบวิ่งมาตั้งแถวยืนปรบมือให้ทีมแพ้ ถือเป็นการให้เกียรติกันที่สู้อย่างสมศักดิ์ศรี ไม่ใช่ชนะแล้วข่ม อวด เยาะเย้ย นับเป็นการจบการแข่งขันอย่างเป็นสุภาพบุรุษ และสุภาพสตรีสำหรับรักบี้หญิง
.
ทั้งสี่ข้อนี้ฟังแล้วน่าคิดและน่าปรับใช้กับการทำงานเป็นทีมและการทำงานในองค์กรอย่างมาก วันนี้พี่เตาแชร์ว่าชอบกีฬามาโดยตลอด เล่นก็หลายอย่าง เมื่อถามคุณบรรยงว่าอยากเล่นกีฬาอะไร คำตอบคือ "อยากเป็นโค้ช" และ "ขอเป็นโค้ชกีฬาประเภททีม"
ฟังแล้วไม่แปลกใจว่าเหตุใดจึงเป็นผู้บริหารยอดฝีมือคนหนึ่ง
ความฝันอยากเป็นโค้ชของพี่เตาน่าจะบรรลุแล้ว
เพียงแค่ 'ทีม' ไม่ได้ลงเล่นในสนามกีฬาเท่านั้นเอง